--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
(E-business) หมายถึง การดําเนินธุรกิจ
โดยอาศัยเทคโนโลยีด้าน อิเล็กทรอนิกส์และ อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง
โดยมีการประยุกต์ใช้ในทุกกิจกรรมของธุรกิจทั้ง กิจกรรมส่วนหน้า (Front Office) และ กิจกรรมส่วนหลัง (Back Office) รวมทั้ง
การเชื่อมต่อกับระบบการค้ากับองค์กรภายนอกด้วย โดยมีการใช้เทคโนโลยี
เครือข่ายและการสื่อสาร ทั้งในรูปของอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต และเอ็กซ์ทราเน็ต
เช่น การเชื่อมต่อกับธนาคาร โดย ใช้ ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ (E-banking) หรือการเชื่อมต่อกับผู้ขายโดยผ่านห่วงโซ่
อิเล็กทรอนิกส์ (E-Supply
Chain)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(E-Commerce) หมายถึง
การดําเนินการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ระหว่างธุรกิจ บุคคล ภาครัฐ
และองค์การสาธารณะ
โดยผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องติดต่อซื้อขายกันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งครอบคลุม
ตั้งแต่ระดับเทคโนโลยีพื้นฐาน เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์
ไปจนถึงเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน เช่น อินเทอร์เน็ต
และสามารถทําการแลกเปลี่ยนและติดต่อใน เรื่องต่าง ๆ เช่น การชําระเงิน การจัดส่ง
ผ่านทาง อิเล็กทรอนิกส์ หรือทางกายภาพก็ได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1.กิจกรรมส่วนหน้า
(Front Office) เป็นกิจกรรมที่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
ซึ่งหมายถึง ส่วนของการซื้อ-ขาย หรือส่วนที่ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง
ลูกค้าในที่นี้อาจจะหมายถึงผู้บริโภค ผู้นำเข้า หรือองค์กรธุรกิจ
2.กิจกรรมส่วนหลัง
(Intra-back Office) หมายถึงกิจกรรมธุรกิจที่เกิดต่อเนื่องจากส่วนแรก
เพื่อนำข้อมูลจากการสั่งซื้อของลูกค้ามาประมวลผลภายในองค์กร ได้แก่
การตรวจสอบสินค้าคงคลัง การเบิกสินค้า การสั่งบรรจุหีบห่อ การสั่งผลิต การออกใบเสร็จรับเงิน
การบันทึกบัญชี และรวมถึงการส่งมอบสินค้า
3.กิจกรรมกับองค์กรภายนอก
(Extra-back Office) หมายถึงกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากกิจกรรมส่วนหลัง
เพื่อทำกิจกรรมทางธุรกิจติดต่อกับองค์กรภายนอก เช่น ผู้ขายวัตถุดิบ บริษัทขนส่ง
และธนาคาร ทั้งนี้โดยการติดต่อผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เป็นระบบเครือข่ายสาธารณะ
หรือระบบเครือข่ายเฉพาะกลุ่มซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าก็ได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กรอบการทํางานของ
e-Commerce ตามรูปแบบจําลอง แบ่งองค์ประกอบ
ออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1. การประยุกต์ใช้ (E-Commerce Application)
2.โครงสร้างพื้นฐาน (E-Commerce Infrastructure)
3. การสนับสนุน (E-commerce Supporting)
4. การจัดการ (E-Commerce Management)
1.
การประยุกต์ใช้ (E-commerce
Application) หมายถึง ลักษณะงานที่จะนํา e-Commerce มาประยุกต์ใช้ให้เกิด ความเหมาะสมกับธุรกิจ โดย
มีแนวทางการประยุกต์ใช้ คือ
• ด้านการค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์
(E-Retailing)
• อํานการโฆษณาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Advertisement)
• ด้านการประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auctions)
• คานการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ (E-Service)
• ด้านรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government)
• ต้านโมบายตอมเมิร์ช (Mobile Commerce : MCommerce)
• ด้านโซเชียลคอมเมิร์ช (Social Commerce : sCommerce)
2.
โครงสร้างพื้นฐาน (E-Commerce
Infrastructure) หมายถึง องค์ประกอบหลักสําคัญด้าน
เทคโนโลยีพื้นฐานที่จะทําให้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทํางานได้ต่อไป แบ่งออกเป็น
5 ส่วน ดังนี้
2.1
โครงสร้างการให้บริการพื้นฐานของธุรกิจ (Common Business Service infrastructure) เป็นส่วนบริการ
ที่ช่วยอํานวยความสะดวกและรวดเร็วแก่ลูกค้าและสมาชิกที่มาใช้บริการ
รวมทั้งการสร้างความไว้วางใจ และช่วยส่ง เสริมภาพลักษณ์
2.2
โครงสร้างการกระจายข้อความและข่าวสาร (Messaging and Information Distribution Infrastructure) เป็นโครงสร้างช่องทางการสื่อสารที่ทําให้สามารถแลกเปลี่ยน
ข้อมูลระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการผ่านทางโครง ข่ายโทรคมนาคม
2.3
โครงสร้างการจัดรูปแบบและการเผยแพร่เนื้อหาแบบสื่อผสม (Multimedia Content and Network
Publishing Infrastructure) เป็นการจัดรูปแบบของเนื้อหาเพื่อนําเสนอสินค้าในรูปแบบสื่อประสม
และส่งผ่านทาง เว็บไซต์ไปยังผู้ใช้บริการอย่างมีปฏิสัมพันธ์ ได้แก่
เครื่องมือและซอฟต์แวร์เพื่อ การพัฒนาเว็บไซต์และระบบ ประยุกต์บนเว็บต่าง ๆ เช่น
ภาษา HTML, JAVA, PHP และเวิล์ดไวด์เว็บ (www) เป็นต้น
2.4 โครงสร้างเครือข่าย
(Network infrastructure)
เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เพื่อทําให้สามารถส่งข้อมูล
และสื่อสารกันได้ โดยอาศัยโครงสร้างเครือข่าย การสื่อสารพื้นฐาน และโทรคมนาคม
ได้แก่ LAN, MAN, WAN
VAN, Internet, Intranet, Extranettlax Wireless
2.5
โครงสร้างการต่อประสาน (Interfacing
infrastructure) เป็นโครงสร้างการเชื่อมต่อ เครือข่าย เพื่อให้
สามารถใช้ฐานข้อมูลระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจ
และโปรแกรมประยุกต์ที่สนับสนุนการทําธุรกรรม ตามหน้าที่ทาง ธุรกิจร่วมกันได้ เช่น CRM, SCM
3. การสนับสนุน (E-commerce Supporting) เป็นส่วนที่คอยทําหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนส่วนของการ ประยุกต์ใช้ให้ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
3. การสนับสนุน (E-commerce Supporting) เป็นส่วนที่คอยทําหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนส่วนของการ ประยุกต์ใช้ให้ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
3.1
บุคคล (People) ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ประกอบด้วยผู้ขาย ผู้ซื้อ คนกลาง ผู้ดูแลระบบ EC พนักงานผู้ใช้ระบบ ผู้บริหาร และ
บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกรรม เช่น ธนาคาร ธุรกิจขนส่งสินค้า
เป็นต้น
3.2
นโยบายของภาครัฐ (Public
policy) กฎระเบียบต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ กํากับดูแลการทําธุรกรรม อิเล็กทรอนิกส์
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความปลอดภัย หรือการสร้างความน่าเชื่อถือได้แก่ ภาษี กฎหมาย
สิทธิ์ส่วน บุคคล ข้อกําหนดมาตรฐานเทคโนโลยี
3.3
การตลาดและการโฆษณา (Marketing
& advertising) ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อใช้ติดต่อกับลูกค้า การทํา
ธุรกิจค้าขายและการแจ้งข่าวสารหรือประสัมพันธ์
3.4
การสนับสนุนการบริการ (Support
Services) กิจกรรมสนับสนุน
EC ที่จําเป็น ได้แก่ การจัดการขนส่ง
การชําระเงิน ระบบความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
3.5
พันธมิตรทางธุรกิจ (Business
partnerships) กิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัท ผู้ขาย ลูกค้า
คู่ค้า และผู้ร่วมลงทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)
4. การจัดการ (E-Commerce Management) หมายถึง การวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบ ของแบบจําลองทางธุรกิจ เพื่อกํา หนดรูปแบบของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะสร้างผลกําไรให้กับ องค์กรได้เหนือคู่แข่งขัน และสร้าง มูลค่าเพิ่มของธุรกิจให้มากขึ้น โดยมีการจัดการเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้มี แผนการดําเนินงานภายใต้สภาพแวดล้อมการ แข่งขันที่เพิ่มขึ้น
4. การจัดการ (E-Commerce Management) หมายถึง การวิเคราะห์ถึงองค์ประกอบ ของแบบจําลองทางธุรกิจ เพื่อกํา หนดรูปแบบของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะสร้างผลกําไรให้กับ องค์กรได้เหนือคู่แข่งขัน และสร้าง มูลค่าเพิ่มของธุรกิจให้มากขึ้น โดยมีการจัดการเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้มี แผนการดําเนินงานภายใต้สภาพแวดล้อมการ แข่งขันที่เพิ่มขึ้น
4.1
การพัฒนาระบบงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce Application Development) เป็นกระบวน
การของการพัฒนาระบบงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างเป็นลําดับ
คล้ายกับการพัฒนาระบบงานสารสนเทศอื่นๆ ประกอบด้วย การวางแผน การวิเคราะห์ระบบ
การออกแบบ ระบบ การสร้างระบบ การนําระบบไปใช้งาน และกา รบํารุงรักษาระบบ
4.2
การวางแผนกลยุทธ์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce Strategy) เป็นกลยุทธ์ ที่แต่ละหน่วยธุรกิจของ องค์กร
จัดทําขึ้นตามเป้าหมายของธุรกิจ ประกอบด้วยแผนงาน วิธีการนําไปใช้ แนวทางปฏิบัติ
ระเบียบวิธีปฏิบัติงบ ประมาณและระยะเวลาที่ต้องใช้ และผลตอบแทน
4.3
การจดทะเบียนชื่อโดเมน (Domain
Name Registration) เป็นการจดทะเบียน ชื่อโดเมนให้กับเว็บไซต์
เปรียบเสมือนชื่อของเจ้าของสินค้า หรือชื่อบริษัท ควรพิจารณาชื่อโดเมนที่สอดคล้อง
กับการดําเนินธุรกิจ เพื่อ
เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับลูกค้า
4.4
การโปรโมทเว็บไซต์ (Web
Site Promotion) เป็นการทําให้ผู้คนรู้จักเว็บไซต์ขององค์กร และเพิ่มจํานวน
ผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้า
เป้าหมาย และเป็นการแจ้งข่าวสารหรือ ประสัมพันธ์ ด้วยเครื่องมือในการค้นหา เช่น
เว็บไดเร็กทอรี เสิร์ชเอน และการโปรโมทเว็บไซต์ให้อยู่ในหนแรกของ การค้นหา (SEO search engine optimization)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การแบ่งรูปแบบการทําธุรกรรมพาณิชย์อีเล็กทรอนิกส์
ออกเป็น3 มิติ ได้แก่ คานผลิตภัณฑ์ (product) กระบวนการ (process)
และตัวแทนการส่งมอบสินค้า
(agent) อาจ
แบ่งรูปแบบการทําธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้
1.
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบเต็มรูปแบบ (Pure E.Commerce or Virtual Pure-Plar Organizations) คือ
การทําธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในรูปแบบ ดิจิทัลทุกขั้นตอน
ตั้งแต่การสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ การชําระเงิน และการส่งมอบสินค้า ได้แก่การ
ซื้อขายสินค้าดิจิทัล (digital
product) และสินค้าเสมือนจริง
(virtual product) เช่น โปรแกรม เพลง และเกม
2.
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบบางส่วน (Partial
E-Commerce) คือ การทําธุรกรรม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่
บางขั้นตอนยังใช้กระบวนการทางกายภาพ และบางขั้นตอนเป็นรูปแบบ ดิจิทัล เช่น
การสั่งซื้อหนังสือมีขั้นตอนการ สั่งซื้อสินค้าเป็นแบบดิจิทัล การชําระเงินอาจเป็น
กระบวนการทางกายภาพหรือเป็นรูปแบบดิจิทัลที่ได้ ส่วนการส่ง
มอบสินค้าเป็นกระบวนการทางกายภาพ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
โมเดลทางธุรกิจของ
EC โมเดลการดําเนินธุรกิจ อาจแบ่งเป็น 3
แบบ ดังนี้
1.บริกแอนด์มอร์ต้า(Brickand Mortar) หมายถึง ธุรกิจที่มีอาคารสถานที่เป็นอิฐและปูนประกอบการค้าขายแบบ “ออฟไลน์ (On-line) เป็นรูปแบบที่เก่าแก่ที่สุด คือการใช้ web Site แบบง่าย ให้รายละเอียดสินค้าได้
แต่สั่งซื้อ สินค้าไม่ได้ ลูกค้ายังต้องเดินทางมาซื้อที่หน้าร้าน
2.บริคแอนด์คล็ก (Brick-and-clic)
หรือ
Click-and-Mortar หรือ Click and-Brick หมายถึง ธุรกิจที่มี
อาคารสถานที่เป็นอิฐและปูนซึ้งเดิมที่เป็นธุรกิจแบบบริคแอนด์มอร์ต้า
แต่ต่อมาขยายมาทําธุรกิจที่ให้บริการบน อินเทอร์เน็ตด้วย
จึงทําธุรกิจทั้งแบบออฟไลน์และ ออนไลน์ (On-line)” เนื่องจากต้องการผสมผสานความได้เปรียบ
ทางการแข่งขันมาจากธุรกิจทั้ง ทางด้านความชํานาญฐานข้อมูลและสายสัมพันธ์
มาจากธุรกิจเดิมที่ดําเนินงานอยู่ เช่น www.thaigem.com, www.se-ed.com, www.central.co.th
3.คลิกแอนตัดลึก (Click-and.
Clic) หรือ
ดอทคอม (Dot.com) หมายถึง ธุรกิจที่ให้บริการบนอินเทอร์เน็ต
เพียงอย่างเดียวไม่มีอาคารสถานที่สําหรับประกอบธุรกิจ เช่น www.amazon.com, www.sanook.com
www.ToHome.com
ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(2)
กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากําไร (Non-Pront)
แบ่งเป็นประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(1)
กลุ่มธุรกิจที่ค้ากําไร(Profit)
แบ่งเป็น
4 ประเภทคือ
1.1 Business-to-Consumer (B2C) : เป็นธุรกรรมที่กระทําระหว่าง ผู้ประกอบการกับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่ง
เป็นการค้าแบบขายปลีก ที่มีการสั่งซื้อสินค้าจํานวนไม่มากและ
มูลค่าการซื้อขายไม่สูงมากนัก เช่น www.tohome.com, www.misslily.com, www.yahoo.com, www.amazon.com
1.2 Business-to-Business (B2B) : เป็นธุรกรรมที่กระทําระหว่างธุรกิจด้วย กันเอง
ส่วนใหญ่จะมีการสั่งซื้อ
สินค้าในปริมาณมากและมีมูลค่าการซื้อขายแต่ละครั้งจํานวนสูง
ได้แก่การสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิต การสั่งซื้อชิ้นส่วน ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
การติดต่อธุรกิจ ระหว่างสํานักงานใหญ่และตัวแทนจําหน่ายผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
เช่น www.FoodMarketExchange.com,
Cisco.com, Intel.com
1.3 Consumer-to-Business (C2B) : เป็นการทําธุรกรรมการค้าระหว่าง ผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ โดยผู้
บริโภคได้มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มสมาชิกแล้วกระทําธุรกรรมกับ
ผู้ประกอบการในนามของกลุ่มสมาชิก ไม่ใช่บุคคล เพื่อ สร้างอํานาจในการต่อรอง เช่น WWW.Voxcap.com, www.thaitambon.com
1.4
Consumer-to-Consumer (C2C) เป็นการทําธุรกรรมระหว่างบุคคล กับบุคคลที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อ ลูกค้า
หรือผู้ใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ไม่ใช่รูปแบบของร้านค้าหรือธุรกิจการซื้อขายจะเป็นลักษณะของการประกาศ
ซื้อขาย หรือประมูลสินค้า เช่น www.ThaiSecond
Hand.com, www.ebay.com
2.2 Government-to-Citizens (G2C) : เป็นการทําธุรกรรมระหว่างภาครัฐกับ ประชาชนโดยไม่ค้ากําไร แต่
เพื่ออํานวยความสะดวกในการให้บริการกับประชาชน เช่น การชําระภาษีของ กรมสรรพากร (wาเข้าw.rd.go.th)
2.3 Business-to-Employees (B2E): เป็นการทําธุรกรรมภายในองค์กร ระหว่างองค์กร กับพนักงาน โดยมุ่ง
เน้นการให้บริการแก่พนักงานในด้านต่าง ๆ เช่นข้อมูลข่าวสาร
สินค้าหรือบริการสําหรับพนักงาน
2.4 Exchange-to-exchange (E2E): เป็นการทําธุรกรรมโดยอาศัย ECommerce เป็นช่องทางสําหรับแลก
เปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างกัน โดยไม่ได้หวังผลที่จะค้กําไร อาจ
เป็นช่องทางสําหรับใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและ บริการระหว่างองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
2.5 Intrabusiness EC เป็นการทําธุรกรรมที่อาศัยระบบเครือข่ายอินทราเน็ต
สําหรับเป็น สื่อกลางในการ ติดต่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ และสารสนเทศ
ได้แก่ การดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างองค์กรกับพนักงาน
เพื่อปรับปรุงการทํางานภายในและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น เช่น การฝึกอบรม
การร่วมกัน ออกแบบผลิตภัณฑ์
2.6
Collaborative Commerce
(C-Commerce) เป็นการทําธุรกรรมระหว่างผู้ร่วมทางธุรกิจ ที่ต้อง
ปฏิสัมพันธ์ร่วมกันภายในห่วงโซ่อุปทาน เช่น ผู้จําหน่ายวัตถุดิบ ผู้ขนส่งสินค้า
ผู้ให้บริการชําระเงิน เป็นต้น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเภทของสินค้าและบริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ตามความหมายขององค์การการค้าโลก ได้ดังนี้
1.สินค้าที่จับต้องได้
(Tangible Goods) หมายถึง สินค้าที่มีลักษณะทางกายภาพ
หรือตัวตนที่สามารถจับต้อง ได้ หรือมีน้ําหนัก
ผู้ขายจะต้องทําการส่งสินค้าผ่านช่องทางการขนส่งต่างๆ เพื่อให้สินค้านั้นๆ
ไปให้ถึงมือลูกค้า ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหาร
สิ่งทอและเสื้อผ้าสําเร็จรูป เครื่องหนัง ของเล่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง บ้าน
ของขวัญและของชําร่วย เป็นต้น
2.สินค้าที่จับต้องไม่ได้
(Intangible Goods) หรือสินค้าดิจิทัล (digital goods) หมายถึง สินค้าที่มี ลักษณะเป็น
สื่อดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นไฟล์
และสามารถส่งผ่านช่องทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ เป็น สินค้าที่สามา
รถทําการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการ
โฆษณาจําหน่ายสินค้า การเจรจาต่อรอง การตก ลงทําสัญญาซื้อขาย การชําระเงิน
และการส่งสินค้า เช่น เพลง ภาพยนตร์ วิดิโอ และซอฟต์แวร์ เป็นต้น
3.กลุ่มสินค้าบริการ
(Services) หมายถึง การให้บริการในรูปแบบต่างๆ
ที่ผู้ขายจัดขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้เข้ามา เยี่ยมชมเว็บไซต์ เช่น การท่องเที่ยว
โรงแรมร้านอาหาร บริการจองตั๋วเครื่องบิน บริการรถเช่า บริการทัวร์ บริการ
ฝากขายอสังหาริมทรัพย์ และบริการข้อมูลต่างๆ เป็นต้น
รวมถึงการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ต เช่น ผู้ บริการทางอินเทอร์เน็ต (Internet service provider: ISP) การบริการข้อมูลข่าวสารของพอร์ทอสไชต์
(portal site) และ เสริชเอนจีน เป็นต้น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1.
เว็บไซต์แค็ตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (Online
Catalog Web Site) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ
สินค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจในซื้อสินค้า เช่นรูปภาพ รายละเอียดสินค้า
ที่อยู่ผู้ที่ให้ลูกค้าติดต่อกลับ เปรียบ เสมือนเป็นเพียงแค็ตตาล็อกสินค้า
โดยไม่มี ระบบตระกร้าสินค้าและระบบการชําระเงิน หากลูกค้าต้องการซื้อให้
ติดต่อผู้ขายโดยตรง เช่น www.Tarad.Com
2.
ร้านค้าออนไลน์ (E-shop
Web Site) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ที่มีความสมบูรณ์แบบโดยมีทั้งระบบการจัดการสินค้า
ระบบตะกร้าสินค้า ระบบการชําระเงิน ระบบการขนส่ง ผู้ซื้อสามารถ
ทําการสั่งซื้อสินค้าและชําระเงินผ่านเว็บไซต์ ได้ทันที เช่น www.Thaigem.Com
3. การประมูลสินค้า (Auction) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการนําเสนอการประมูลสินค้า
โดยเป็น การแข่งขันกัน เสนอราคาระหว่างผู้ต้องการประมูล
และขายให้กับผู้ให้ราคาสูงสุด เช่น www.Ebay.Com
4. การประกาศซื้อขาย (E-classified) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจประกาศ
ความต้องการซื้อ ขายสินค้าของตนได้ภายในเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์นี้จะทําหน้าที่เหมือนกระดานข่าว
และตัวกลางในการแสดงข้อมูล สินค้าและผู้ประกาศ เช่น www.Panthipmarket.com
5. ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-marketplace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของตลาดนัด
ขนาดใหญ่ โดยมีการรวบรวม เว็บไซต์ของร้านค้าต่าง ๆ และจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่
เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูสินค้าภายในร้านค้าต่าง ๆ ภายใน
ตลาดได้อย่างสะดวกง่ายดาย เช่น www.Tarad.Com,
www.Thaitambon.com
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลักการตลาดของธุรกิจทั่วไปจะมีการนําหลัก 4p มาใช้คือ
• Product
• Price
• Place
• Promotion
แต่หลักการตลาดของธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจะมีหลักการเพิ่มขึ้นมาตามสถานการณ์ของการประยุกต์ใช้ คือ
•
Personalization การให้บริการส่วนบุคคล
•
Privacy การรักษาความเป็นส่วนตัว
Product (สินค้า) Product หรือสินค้าในการทําธุรกิจ EC ถือเป็นจุดอ่อนของการทําธุรกิจ EC เพราะ ลูกค้าไม่สามารถจับต้อง สินค้าได้ ได้แต่เพียงการดูจากรูปภาพและคําบรรยายเท่านั้น การแก้ปัญหาเรื่อง Product คือ ผู้จัดทําเว็บไซต์จะต้อง พยายามให้รายละเอียดของตัว สินค้าให้มากที่สุด โดยเนื้อความทั้งหมดไม่เกินเลยความเป็นจริง ใช้ศิลปะการเขียน เพื่อให้ เกิดความน่าสนใจในตัวสินค้ามากขึ้น
Price (ราคา) ส่วนใหญ่สินค้าที่เสนอขายบน EC มักมีราคาถูกกว่าท้องตลาดแต่เมื่อรวมค่าขนส่งจะทําให้สินค้ามีราคาเพิ่มขึ้น จึงควรมีการปรับราคาและค่าขนส่งให้มีความเหมาะสม
Place (ช่องทางการจัดจําหน่าย) การขายสินค้าบน EC เป็นการเพิ่มช่องทางการจําหน่ายให้กับธุรกิจทั่วไป จึงต้องเลือก ช่องทางการจัดจําหน่าย ที่เหมาะสม คือ"การนําเสนอผ่านทางเว็บไซต์ "การนําเสนอผ่านทาง Search Engine ต่างประเทศ
Promotion (การส่งเสริมการขาย)การส่งเสริมการขายบน EC มีความสําคัญมาก เพราะสามารถดึงดูดลูกค้าให้สนใจซื้อสินค้า จึงควรมีการทําการส่งเสริมการขายเป็นประจําและสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจ ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แม้ตัวสินค้าจะไม่เปลี่ยนแปลง
Personalization (การให้บริการส่วนบุคคล) ป็นลักษณะการให้บริการแบบ Interactive (โต้ตอบร่วมกัน) ระหว่างเว็บไซต์กับลูกค้า โดยมีการแบ่งแยกระหว่างผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ปกติ (ไม่มีการเป็นสมาชิก) และผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่เป็น สมาชิก การให้บริการส่วนบุคคล สําหรับสมาชิก เช่น การทักทายหน้าเว็บไซต์ การเสนอสิทธิ์ บางอย่างแก่สมาชิก การได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากผู้ดูแลเว็บ
Privacy (การรักษาความเป็นส่วนตัว) การรักษาความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งที่ธุรกิจจะต้องยึดมั่นนํามาปฏิบัติ เปรียบเสมือนการมีจรรยาบรรณที่พึ่งปฏิบัติต่อลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการเนื่องจากอินเทอร์เป็นการติดต่อที่เปิดกว้าง จึงอาจเกิดการคุกคามข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าได้ง่าย
ขั้นตอนการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. การหาข้อมูลการโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Searching and Advertising) การให้ข้อมูลข่าวสาร
ที่ต้องการสื่อสารไปยังผู้รับสาร
ในฝั่งของผู้ส่งสารจะต้องสื่อสารให้ได้ประสิทธิภาพ คือการสร้างข้อมูลให้มีคุณภาพ
สามารถสืบค้นได้ง่าย อ่านแล้วเข้าใจง่าย ส่วนผู้รับสารที่ต้องการความสะดวกในการ
รับสารที่ต้องการ และต้องมีความเข้าใจเพื่อประกอบการตัดสินใจในการที่จะซื้อหรือไม่ซื้อ
สินค้าต่อไป การโฆษณาประชาสัมพันธ์ อาจทําได้โด
-การใช้เว็บไซต์ของตนเองในการทําประชาสัมพันธ์
-การประชาสัมพันธ์บน World Wide Web
-การประชาสัมพันธ์ในที่อื่นๆบนอินเทอร์เน็ต
2. การทําธุรกรรม(Transaction) หลังจากสืบค้นข้อมูลและได้รับข่าวสารการประชาสัมพันธ์ แล้ว ลูกค้าจะต้องตัด สิ้นใจว่าจะซื้อสินค้า หรือไม่ซื้อสินค้าต่อไป ต่อไป ถ้าตัดสินใจว่าจะซื้อจะเริ่มตั้งแต่การทําคําสั่งซื้อ การชําระเงินค่า สินค้า ไปจนถึงการจัดส่งสินค้า
3. การทําคําสั่งซื้อ (Ordering) เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอและต้องการจะทําการซื้อสินค้าหรือจะทํา ธุรกรรมกันแล้ว ในฝั่ง ผู้ขายต้องมีระบบการรับคําสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพรองรับอยู่แบ่งเป็น
-ระบบตะกร้าสินค้า (shopping Carts) มีการอํานวยความสะดวกให้ผู้ใช้ เช่น แสดงรายละเอียดที่ดูได้ง่ายว่า ได้ทําการเลือกสินค้าใดๆไว้บ้างแล้วในตะกร้า รวมแล้วค่าสินค้าเป็นเท่าไร ภาษีค่าจัดส่งต่างๆ ควรแสดงให้เห็นด้วย
-ระบบการกรอกข้อมูลลงแบบฟอร์ม มีความยืดหยุ่นในการดําเนินงานในการสั่งซื้อสินค้า และบริการ มากกว่าระบบตะกร้าสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าและบริการประเภทที่ต้องการ รายละเอียดปลีกย่อยมากๆ
-สั่งซื้อผ่านทาง E-mail
-สั่งซื้อผ่านทาง Social network
4. การชําระเงิน (Payment) เป็นขั้นตอนที่สําคัญและต้องการความปลอดภัย จึงควรมี วิธีการให้ลูกค้าสามาร บริการให้มากที่สุดที่สะดวกกับทั้งทางผู้ค้าและลูกค้า แบ่งวิธีการชําระเงิน เป็น
-ระบบการชําระเงินแบบออนไลน์
-ระบบการชำระเงินแบบออฟไลน์
5. การจัดส่งสินค้า (Delivery) การจัดส่งสินค้าขึ้นกับประเภทของสินค้า การจัดส่ง จึงมี 2 รูปแบบ
-สินค้าที่จับต้องได้ จะต้องมีวิธีการจัดส่งให้ลูกค้าเลือกได้หลายวิธี เช่น จัดส่งสินค้าโดยพนักงานขนส่งสินค้า (Cash on Delivery: C.O.D.) หรือใช้บริการของบริษัทขนส่งเอกชน
-สินค้าที่จับต้องไม่ได้ การจัดส่งจะทําการส่งผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่นดาวน์ โหลดเพลง ข้อมูล การเป็น สมาชิกดูข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆ เป็นต้น
Price (ราคา) ส่วนใหญ่สินค้าที่เสนอขายบน EC มักมีราคาถูกกว่าท้องตลาดแต่เมื่อรวมค่าขนส่งจะทําให้สินค้ามีราคาเพิ่มขึ้น จึงควรมีการปรับราคาและค่าขนส่งให้มีความเหมาะสม
Place (ช่องทางการจัดจําหน่าย) การขายสินค้าบน EC เป็นการเพิ่มช่องทางการจําหน่ายให้กับธุรกิจทั่วไป จึงต้องเลือก ช่องทางการจัดจําหน่าย ที่เหมาะสม คือ"การนําเสนอผ่านทางเว็บไซต์ "การนําเสนอผ่านทาง Search Engine ต่างประเทศ
Promotion (การส่งเสริมการขาย)การส่งเสริมการขายบน EC มีความสําคัญมาก เพราะสามารถดึงดูดลูกค้าให้สนใจซื้อสินค้า จึงควรมีการทําการส่งเสริมการขายเป็นประจําและสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจ ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แม้ตัวสินค้าจะไม่เปลี่ยนแปลง
Personalization (การให้บริการส่วนบุคคล) ป็นลักษณะการให้บริการแบบ Interactive (โต้ตอบร่วมกัน) ระหว่างเว็บไซต์กับลูกค้า โดยมีการแบ่งแยกระหว่างผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ปกติ (ไม่มีการเป็นสมาชิก) และผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่เป็น สมาชิก การให้บริการส่วนบุคคล สําหรับสมาชิก เช่น การทักทายหน้าเว็บไซต์ การเสนอสิทธิ์ บางอย่างแก่สมาชิก การได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากผู้ดูแลเว็บ
Privacy (การรักษาความเป็นส่วนตัว) การรักษาความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งที่ธุรกิจจะต้องยึดมั่นนํามาปฏิบัติ เปรียบเสมือนการมีจรรยาบรรณที่พึ่งปฏิบัติต่อลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการเนื่องจากอินเทอร์เป็นการติดต่อที่เปิดกว้าง จึงอาจเกิดการคุกคามข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าได้ง่าย
ขั้นตอนการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
-การใช้เว็บไซต์ของตนเองในการทําประชาสัมพันธ์
-การประชาสัมพันธ์บน World Wide Web
-การประชาสัมพันธ์ในที่อื่นๆบนอินเทอร์เน็ต
2. การทําธุรกรรม(Transaction) หลังจากสืบค้นข้อมูลและได้รับข่าวสารการประชาสัมพันธ์ แล้ว ลูกค้าจะต้องตัด สิ้นใจว่าจะซื้อสินค้า หรือไม่ซื้อสินค้าต่อไป ต่อไป ถ้าตัดสินใจว่าจะซื้อจะเริ่มตั้งแต่การทําคําสั่งซื้อ การชําระเงินค่า สินค้า ไปจนถึงการจัดส่งสินค้า
3. การทําคําสั่งซื้อ (Ordering) เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอและต้องการจะทําการซื้อสินค้าหรือจะทํา ธุรกรรมกันแล้ว ในฝั่ง ผู้ขายต้องมีระบบการรับคําสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพรองรับอยู่แบ่งเป็น
-ระบบตะกร้าสินค้า (shopping Carts) มีการอํานวยความสะดวกให้ผู้ใช้ เช่น แสดงรายละเอียดที่ดูได้ง่ายว่า ได้ทําการเลือกสินค้าใดๆไว้บ้างแล้วในตะกร้า รวมแล้วค่าสินค้าเป็นเท่าไร ภาษีค่าจัดส่งต่างๆ ควรแสดงให้เห็นด้วย
-ระบบการกรอกข้อมูลลงแบบฟอร์ม มีความยืดหยุ่นในการดําเนินงานในการสั่งซื้อสินค้า และบริการ มากกว่าระบบตะกร้าสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าและบริการประเภทที่ต้องการ รายละเอียดปลีกย่อยมากๆ
-สั่งซื้อผ่านทาง E-mail
-สั่งซื้อผ่านทาง Social network
4. การชําระเงิน (Payment) เป็นขั้นตอนที่สําคัญและต้องการความปลอดภัย จึงควรมี วิธีการให้ลูกค้าสามาร บริการให้มากที่สุดที่สะดวกกับทั้งทางผู้ค้าและลูกค้า แบ่งวิธีการชําระเงิน เป็น
-ระบบการชําระเงินแบบออนไลน์
-ระบบการชำระเงินแบบออฟไลน์
5. การจัดส่งสินค้า (Delivery) การจัดส่งสินค้าขึ้นกับประเภทของสินค้า การจัดส่ง จึงมี 2 รูปแบบ
-สินค้าที่จับต้องได้ จะต้องมีวิธีการจัดส่งให้ลูกค้าเลือกได้หลายวิธี เช่น จัดส่งสินค้าโดยพนักงานขนส่งสินค้า (Cash on Delivery: C.O.D.) หรือใช้บริการของบริษัทขนส่งเอกชน
-สินค้าที่จับต้องไม่ได้ การจัดส่งจะทําการส่งผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่นดาวน์ โหลดเพลง ข้อมูล การเป็น สมาชิกดูข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น